www.narongthai.com  

www.narongthai.com เป็นเว็บไซต์เชิงวิชาการ ที่สามารถนำอ้างอิงได้ตามหลักวิชาการ                                                                                                                                                                                                                                                                           
 

 ณรงค์ ชื่นนิรันดร์
https://www.facebook.com/profile.php?id=100010475651732
สร้างลิงค์ของโปรไฟล์ในแบบที่เป็นตัวคุณเอง

 

 

 

 

 

 

 สถิติวันนี้ 12 คน
 สถิติเมื่อวาน 43 คน
 สถิติเดือนนี้
สถิติปีนี้
สถิติทั้งหมด
2441 คน
14265 คน
1706709 คน
เริ่มเมื่อ 2010-01-13

เขมรมุสลิม เดือนพฤษภาคม 2550
ณรงค์ ชื่นนิรันดร์ 1พ.ค.50


บทนำ
การลักลอบเข้าประเทศไทยด้าน จ.สระแก้วเพิ่มมากขึ้น ส่วนใหญ่อ้างว่าเข้าไปทำงานในประเทศมาเลเซีย แต่ก็ทำให้ฝ่ายความมั่นคงไม่สบายในนัก  
เพราะจากการตรวจค้น บางครั้งก็พบเวชพันธ์ ต้องห้ามติดตัวมาด้วย แถมบางครั้งยังมีการซุกซ่อนเพื่อให้พ้นสายตาของเจ้าหน้าที่ ทำให้เกิดวาม
เครือแครงสงสัยยิ่งขึ้น


จับเขมรมุสลิมได้10คนก่อนลงใต้
อรัญประเทศ วันที่ 1 พ.ค. 50 เวลา 10.00 น.พ.อ.ไชยชัยยันห์ โสธรชัย ผบ.ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา ได้สั่งการให้ ร.อ.ศลิษฏพงษ์ แก้วพิลา
ผบ.ร้อย ทพ.ที่ 1206 ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา(กองร้อยคลองลึก) นำกำลังตั้งจุดตรวจค้นบริเวณ หน้ากองร้อยฯซึ่งอยู่หน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ อย่างเข้มงวดโดยเน้นเรื่องการตรวจค้นยาเสพติดและชาวเขมรมุสลิมที่จะเดินทางลงไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลังตรวจพบว่าในช่วง 3 วันที่ผ่านมามีชาวเขมรมุสลิมส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงเดินทางลงไปยังจังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วจำนวนกว่า 100คนจึงเกรงไปสนับสนุนเป็นแนวร่วมกลุ่มโจรภาคใต้เพื่อความมั่นคงจึงต้องมีการเข้มงวดกวดขันและตรวจค้นเป็นพิเศษกับชาวเขมรมุสลิมที่จะ
เดินทางลงไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถึงแม้ชาวเขมรมุสลิมจะอ้างว่าเดินทางไปทำงานในประเทศมาเลเซียก็ตาม
กระทั่งต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นได้ตรวจพบชายชาวเขมรอายุระหว่าง 30-45 ปี เดินเข้ามาจากฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา เป็นกลุ่มจำนวน 10 คน โดยแต่ละคนสะพายกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยลักษณะไม่เหมือนชาวเขมรที่เข้ามาค้าขายในตลาดโรงเกลือ จึงเรียกตรวจสอบพบว่าทั้ง 10 คน
เป็นชาวเขมรมุสลิม ถือพาสปอร์ต ประทับตราเข้าประเทศอย่างถูกต้อง โดยระบุว่าจะเดินทางไป ชายแดน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส
เพื่อไปทำงานรับจ้างบริเวณชายแดนประเทศมาเลเซีย แต่เจ้าหน้าที่เกิดความสงสัยเนื่องจากเป็นชาวเขมรที่มีอายุวัยกลางคน
ไว้ผมรองทรงทุกคนไม่เหมือนกรรมกรทั่วไป แต่ลักษณะคล้ายทหารกัมพูชา จึงเชิญตัวมาตรวจสอบและตรวจค้นใน กองร้อยคลองลึก


จากการตรวจสอบทราบว่า นายเงีย ตรอง อายุ 37 ปี เป็นหัวหน้ากลุ่ม เมื่อสอบถามชาวเขมรมุสลิมทราบว่าทุกคนเป็นชาว จ.โพธิสัตว์ ประเทศกัมพูชา พึ่งเข้าร่วมนับถือศาสนาอิสลามได้ประมาณ 6 เดือน จากนั้นนายเงีย ตรอง ได้ชักชวนให้ไปทำงานรับจ้างที่ชายแดนประเทศมาเลเซีย
โดยนำรูปไปทำพาสปอร์ตให้กับทุกคน แต่ไม่รู้ว่าไปทำงานอะไร แต่เมื่อตรวจสอบเงินติดตัวพบว่าชาวเมรมุสลิม อีก 9 คน มีเงินติดตัว
คนละ 200-500 บาทเท่านั้น แต่ในตัวของนายเงีย ตรอง มีเงินติดตัวเป็นเงินมาเลเซียคิดเป็นเงินไทยกว่า 2 หมื่นบาท


ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สอบถามนายเซา ซก อายุ 40 ปี ว่าเคยเป็นทหารหรือไม่ นายเซา ซก ได้พูดเป็นภาษาเขมรว่าเคยเป็นอดีตทหารอยู่ที่ จ.โพธิสัตว์ แต่ขณะกำลังพูดพรรคพวกได้หันมาบอกนายเซา ซก ว่าห้ามพูด นายเซา ซก จึงหยุด และเมื่อสอบถามต่อว่าเคยเป็นทหารสังกัดไหน นายเซา ซก กลับคำว่าไม่เคยเป็นทหารและทุกคนก็ไม่เคยเป็นทหาร โดยบอกว่าทุกคนมีอาชีพทำนาเท่านั้น
จากคำพูดที่กำกวมมีลักษณะปิดบังทำให้เจ้าหน้าที่เกิดความสงสัยเป็นอย่างมากจึงได้ทำการถ่ายสำเนาเอกสารการเดินทางทั้งหมดไว้พร้อม
ทั้งถ่ายรูปทำประวัติเก็บไว้ ซึ่งประกอบด้วย 1)นายเงีย ตรอง อายุ 37 ปี,2)นายมอน เงือน อายุ 30 ปี,3)นายเชือน วันเทีย อายุ 36 ปี,
4)นายซิม เดือน อายุ 37 ปี,5)นายเซา ซก อายุ 40 ปี,6)นายเมา โอน อายุ 41 ปี,7)นายตุม เชือน อายุ 50 ปี,8)นายเจียร รา อายุ 34 ปี,
9)นายบิล ชวน อายุ 41 ปี และ 10)นายจริ โซน อายุ 43 ปี
ค้นพบยาเครื่องนอนในป่า จากการตรวจค้นกระเป๋าเสื้อผ้าของชาวเขมรมุสลิมทั้ง 10 คน พบว่าภายในกระเป๋าเสื้อผ้ามีเป้สนาม
สำหรับนอนในป่า ทุกคน และบางกระเป๋ามียาปฏิชิวนะ ซุกซ่อนมาด้วย จึงได้ทำการตรวจยึดยาไว้ เมื่อสอบถามว่าเอาเป้สนามไปทำไม
กลับไม่มีคำตอบใดๆ จากชาวเขมรมุสลิม ซึ่งหลังจากตรวจสอบทำประวัติและตรวจค้นแล้วเจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมตัวไว้ได้ เนื่องจากมีเอกสารการเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้องจึงต้องปล่อยให้เดินทางต่อไป


พ.อ.ไชยชัยยันห์ โสธรชัย ผบ.ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา ได้สั่งการให้ส่งเจ้าหน้าที่ติดตามดูการเดินทางไปของชาวเขมรมุสลิมกลุ่มนี้ว่าไปที่ไหนและเดินทางออกไปมาเลเซียจริงหรือไม่
จากการสอบถามทหารเขมรประจำปอยเปต ถึงชาวเขมรมุสลิมทั้ง 10 คนว่าเคยเป็นทหารหรือไม่ โดยมีทหารเขมรคนหนึ่งบอกว่า
ชาวเขมรมุสลิมทั้ง 10 คน ที่เดินทางเข้าประเทศไทยนั้น ประมาณ 5 คน จำได้ว่าเคยเป็นอดีตทหารเขมรแดงทางด้าน จ.โพธิสัตว์
ซึ่งตนเองเคยไปประจำการอยู่ที่ จ.โพธิสัตว์ มาก่อนจึงจำได้ ส่วนอีก 5 คนก็น่าจะเป็นทหารเหมือนกัน
พ.อ.ไชยชัยยันห์ โสธรชัย ผบ.ฉก.กรม.ทพ.ที่12 กกล.บูรพา บอกว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ติดตามพฤติกรรมของเขมรมุสลิมกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด เพราะเกรงว่าอาจจะเป็นนักรบรับจ้างไปร่วมก่อเหตุที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ และจะได้รายงานประสานหน่วยทหารในพื้นที่ภาคใต้ให้ตรวจสอบต่อไป

กระทรวงการต่างประเทศ วันที่ 8พ.ค.50 นายธฤต จรุงวัฒน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงรายงานข่าวที่ระบุว่า มีชาวกัมพูชามุสลิมเดินทางเข้าไทยอย่างถูกต้องจำนวนเกือบ 20,000 คน แต่พบว่ามีการเดินทางกลับประเทศเพียงร้อยละ 10 โดยส่วนใหญ
่เดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า กระทรวงการต่างประเทศ กำลังประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อตรวจสอบจำนวนชาวกัมพูชามุสลิมว่าได้เดินทางเข้าประเทศไทยมากถึง 20,000 คน จริงหรือไม่ เพื่อพิจารณาทบทวนมาตรการการออกวีซ่าให้สมดุลระหว่างการอำนวยความสะดวกการเดินทางของชาวกัมพูชากับประเด็นด้านความมั่นคง
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเจ้าหน้าที่สถานทูต และสถานกงสุลไทยทุกแห่ง เมื่อมีบุคคลมายื่นขอวีซ่าและตรวจสอบประวัติพบความผิดปกติ
จะไม่ออกวีซ่าให้อยู่แล้ว พร้อมยืนยัน สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา มีมาตรฐานการออกวีซ่าให้ชาวกัมพูชาอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีการเพ่งเล็งชาวกัมพูชามุสลิมแต่อย่างใด
ส่วนกรณีรายงานข่าวแนวร่วมชาวอินโดนีเซียลักลอบเข้ามาเคลื่อนไหวเพื่อก่อเหตุในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 70 คน โฆษก
กระทรวงการต่างประเทศ ปฏิเสธจะตอบคำถาม กล่าวเพียงว่า มีหลายหน่วยงานดูแลความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.) และสภาความมั่นคงแห่งชาติ


เขมรมุสลิมลงใต้มากกว่า2พันคน  
จ.สระแก้ว วันที่ 18 พฤษภาคม 2550 พ.อ.ไชยชัยยันห์ โสธรชัย ผบ.ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา บอกว่า พล.ต.คนิต สาพิทักษ์
ผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา ได้สั่งการให้ ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา เข้มงวดกวดขันและตรวจค้นชาวเขมรมุสลิมที่จะเดินทาง
ไปชายแดนภาคใต้อย่างเข้มงวด เนื่องจากเกรงว่าจะมีการลักลอบนำยารักษาโรคและสิ่งของต่างๆ ไปสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทางภาคใต้ ซึ่งจากนี้ไปจะตรวจค้นอย่างเข้มงวดหากพบการลักลอบนำของไม่ถูกต้องเข้ามาจะต้องจับกุมดำเนินคดีทันที
พ.อ.ไชยชัยยันห์ โสธรชัย ผบ.ฉก. กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา สั่งการให้ ร.อ.ศลิษฏพงษ์ แก้ว-พิลา ผบ.ร้อย ทพ.ที่ 1206 ร่วมกับ
ร.ต.อ.วิชาญ จิตต-ยานันท์ รอง สว.สส.สภ.ต.คลองลึก และด่านศุลกากรอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ตั้งจุดตรวจค้นชาวเขมรมุสลิมท
ี่จะเดินทางลงไปชายแดนภาคใต้ของไทย ที่บริเวณจุด ตรวจกองร้อยคลองลึก หน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ พบชาวเขมรมุสลิม
ชายหญิง 30 คน พร้อมสัมภาระจะเดินทางไปชายแดน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส
จากการตรวจค้นสัมภาระนอกจากกระเป๋าเดินทางแล้วยังมีถังพลาสติกสีขาวขนาด 20 ลิตร 7 ใบ ภายในบรรจุปลาร้า เจ้าหน้าที่เห็นว่า
นำปลาร้าเข้าไปมากผิดปกติ จึงตรวจอย่างละเอียด ปรากฏว่าในถัง 1 ใน 7 ใบ แอบซุกซ่อนยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะจำนวนมาก
รวมทั้งผงชูรสจำนวนหนึ่ง จึงจับกุมนางมาน ซีเยาะ อายุ 40 ปี ชาวเขมรมุสลิม ที่ร่วมเดินทางมาด้วยไปสอบสวน รับสารภาพว่าลักลอบ
นำยารักษาโรคไปส่งให้พรรคพวกที่ชายแดน จ.นราธิวาส แต่ไม่รู้ว่าคนที่รับไปจะส่งต่อไปให้ใคร นำตัวส่งดำเนินคดี ส่วนชาวเขมรมุสลิมที่เหลือได้ตรวจสอบและถ่ายรูปทำประวัติไว้ก่อนปล่อยให้เดินทางต่อไป เนื่อง จากมีพาสปอร์ตและวีซ่าถูกต้อง


พ.อ.ไชยชัยยันห์ โสธรชัย ผบ.ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 บอกว่า จากการตรวจค้นและจับกุมชาวเขมรมุสลิมพร้อมยารักษาโรคครั้งนี้ ยังไม่
สามารถสอบสวนได้ว่านำไปส่งให้ใคร แต่อาจเป็นไปได้ ที่นำไปส่งให้ชาวเขมรมุสลิมด้วยกัน และอาจจะนำไปสนับสนุนกลุ่มที่ไม่ประสงค์
ดีต่อประเทศได้ ร.ต.อ.วิชาญ จิตตยานันท์ รอง สว.สส.สภ.ต.คลองลึก บอกว่า สภ.ต.คลองลึก ได้ประสานขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการรถตู้ที่วิ่งรับส่งชาวเขมรมุสลิมไปที่ชายแดนภาคใต้ทุกราย เพื่อเก็บข้อมูลโดยให้มีการ
ถ่ายสำเนาเอกสารพาสปอร์ต พร้อมทั้งข้อมูลการเดินทางว่าใครจะเดินทางไปไหนมาส่งให้ สภ.ต.คลองลึก ทุกคัน ซึ่งตั้งแต่
วันที่ 1 มกราคม 50 ที่ผ่านมา ถึงปัจจุบัน พบว่ามีชาวเขมรมุสลิม เดินทางลงไปชายแดนภาคใต้แล้วจำนวน 2,300 คน
โดยแยกเป็นชาย 1,200 คน และหญิง 1,100 คน ส่วนข้อมูลการเดินทางกลับมานั้นมีไม่ถึง 10% ซึ่ง สภ.ต.คลองลึก
สามารถตรวจสอบได้เพียงเท่านี้ เนื่องจากเคยทำหนังสือขอความร่วมมือไปยัง สภ.อ.ปลายทางที่ให้คนขับรถตู้นำไปเพื่อให้เจ้าหน้าที่
สภ.อ.ปลายทางเซ็นกำกับมาว่าชาวเขมรมุสลิม ที่แจ้งว่าจะเดินทางไปประเทศมาเลเซีย ผ่านทาง อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส
นั้นเดินทางไปถึงครบหรือไม่ หรือมีการลงตามจังหวัดอื่นๆ อีกหรือไม่ แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ ทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้
ว่าเขมรมุสลิมเหล่านี้ไปอยู่ที่ไหนบ้าง ขณะนี้ทำได้เพียงตรวจสอบและตรวจค้น หากพบสิ่งผิดกฎหมายก็ดำเนินคดีเท่านั้นเอง
พ.ต.อ.บรรพตคงคะจันทร์ผกก.ด่านตรวจคนเข้าเมืองสุไหงโกลกจ.นราธิวาสยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมามีเขมรมุสลิมเดินทางเข้ามาใน
จังหวัดชายแดนภาคใต้พร้อมเดินทางต่อเข้าไปยังมาเลเซีย โดยผ่านเข้าทางด่านตรวจคนเข้าเมือง อ.สุไหงโก-ลก และจากการสอบถามพบว่าวัตถุประสงค์ของการเดินทางไปยังมาเลเซียก็เพื่อไปค้าแรงงานที่รัฐกลันตัน ตรังกานู ของประเทศเพื่อนบ้าน
ซึ่งการเดินทางของเขมรมุสลิมดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเดินทางแบบคณะ และทุกคนต่างมีหนังสือเดินทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย
เจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้เดินทางผ่านด่านเข้าไปได้ ทั้งนี้ยังไม่พบข้อมูลในการลำเลียงยารักษาโรค หรือยาเสพติดตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัญหาความมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
พล.ต.ท.เจตนากร นภีตะภัฏ ผบช.ภ.9 บอกว่า ตำรวจภูธรภาค 9 ได้ให้ความสนใจและเฝ้าระวังตรวจสอบอยู่อย่างต่อเนื่องแล้ว
เช่นเดียวกับ พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพบก ในฐานะหัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) ที่ระบุว่า ไม่มีเขมรมุสลิมที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ทางกองทัพก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้กำชับแจ้งเตือนและให้เฝ้าระวังจับตากลุ่มคนเหล่านี้อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่องตลอดเวลา
เขมรมุสลิมบางส่วนส่งยาให้โจรใต้


พ.ต.อ.สมพงษ์ ขอนแก่น รอง ผบก.ตชด.ภาค 4 และ ผบ.ฉก.4 บอกเรื่องเดียวกันว่า ในส่วนของข้อมูลเรื่องการนำยารักษาโรคเข้าไปด้วยนั้น
ไม่ทราบว่าเป็นยาประเภทใด มีอะไรบ้าง แต่ที่มีข้อมูลอยู่ก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่เป็นลักษณะของยาที่หลีกเลี่ยงการเสียภาษี โดยจะนำมา
ขายในกลุ่มมุสลิมพม่าที่เข้ามาอยู่ในประเทศมาเลเซีย ในลักษณะเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มมุสลิมพม่าที่ทางการมาเลเซียจัดโซนไว้ให้
โดยไม่มีการจับกุม ซึ่งกรณีเขมรมุสลิม ก็อาจเป็นลักษณะเดียวกัน ขณะเดียวกัน ก็ยอมรับว่าอาจมีบางส่วนที่ส่งขายให้กลุ่มผู้ก่อความ
ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย เพื่อเก็บไว้เป็นเสบียงในการรักษาอาการบาดเจ็บจากเหตุปะทะกับเจ้าหน้าที่
พ.ต.อ.สมพงษ์ บอกอีกว่า ยารักษาโรคที่กลุ่มมุสลิมพม่านำมาขายนั้น ที่มีข้อมูลอยู่คือส่วนใหญ่นำมาจากพม่า จากนั้นก็จะขนเข้ามาฝั่งไทย
ก่อนที่จะข้ามแดนไปยังมาเลเซีย ซึ่งกลุ่มเขมรมุสลิมนั้น มักจะมีหนังสือเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่เมื่อข้ามไปฝั่งมาเลเซียแล้วก็
จะทิ้งหนังสือเดินทางไว้ตามแนวชายแดน เพื่อเข้าไปอยู่ในมาเลเซียในลักษณะเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง เพราะว่าหากมีหนังสือเดินทาง
ถูกต้องก็จะมีระยะเวลาเป็นตัวกำหนด จะอยู่นานไม่ได้ หากถูกจับก็จะถูกดำเนินคดีหนักกว่ากรณีที่หลบหนีเข้าเมือง เพราะถ้าถูกจับ
กุมตัวได้ก็มักจะถูกส่งกลับภูมิลำเนาเท่านั้น
"สำหรับมุสลิมพม่านั้น ส่วนใหญ่จะเข้ามาในลักษณะหลบหนีเข้าเมือง แต่เขมรมุสลิมจะแตกต่าง ตรงที่มีหนังสือเดินทางเข้ามาอย่างถูกต้อง เมื่อถึงมาเลเซียก็จะมีคนมารับกลุ่มคนพวกนี้ไปอีกทอดหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาหน่วยข่าวความมั่นคงต่างๆ ของไทย
ไม่มีการติดตามเรื่องนี้อย่างจริงจัง จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาในส่วนนี้ได้ หรือขยายผลในเชิงลึกได้" พ.ต.อ.สมพงษ์ กล่าว
เผยโจรใต้ขาดดินระเบิดใช้ดินดำแทน


พ.ต.อ.สมพงษ์ บอกอีกว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่สืบทราบว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเริ่มที่จะขาดแคลนดินระเบิด เพื่อนำมาทำวัตถุระเบิด
เนื่องจากถูกสกัดกั้นจับกุมอย่างหนัก แต่ล่าสุดทราบว่ากลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้หันมาใช้ดินดำ ดินปืนจากดอกไม้ไฟและพลุในการ
นำมาเป็นส่วนประกอบของวัตถุระเบิดแทน แม้อานุภาพความรุนแรงจะด้อยกว่าดินระเบิด แต่หากใส่สะเก็ดระเบิดไว้ ก็สามารถทำให้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตได้เช่นกันในกรณีอยู่ในรัศมีการทำลาย
"เมื่อไม่นานมานี้ ทาง ตชด.ภาค 4 ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ต้องสงสัยแห่งหนึ่งใน จ.ยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ก่อนที่จะเข้าเขตตัวเมืองยะลา ตามที่มีสายข่าวแจ้งมา ปรากฏว่าพบรถวิทยุบังคับของเล่นและวัตถุระเบิดแสวงเครื่องบรรจุท่อเหล็กอีก 1 แท่ง โดยรถวิทยุบังคับของเล่นนั้นภายในซุกระเบิดแสวงเครื่องไว้ ควบคุมการจุดชนวนระเบิดด้วยรีโมทคอนโทรลที่ใช้สำหรับบังคับรถวิทยุของเล่นในระยะไม่เกิน 50 เมตร โดยระเบิดที่ซุกในรถวิทยุบังคับของเล่นนั้น คาดว่าเป็นลูกที่คนร้ายใช้เป็นเหยื่อล่อเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจสอบกรณีเกิดระเบิดขึ้น จากนั้นก็จะกดชนวนระเบิดสังหารอีกลูกที่เป็นท่อเหล็ก ซึ่งโชคดีที่มีคนเห็นและแจ้งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบ จึงทำให้รู้ว่ากลุ่มคนร้ายได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการลอบโจมตีเจ้าหน้าที่ ที่สำคัญกลุ่มคนร้ายมักจะลักลอบขนเข้าตัวเมืองยะลามาทางลำคลอง เพื่อหลีกเลี่ยงด่านตรวจบนท้องถนน จากนั้นก็จะนำไปวางไว้ตาม
เป้าหมายต่างๆ เพื่อก่อเหตุ"


จับเขมรมุสลิมอีก17คน
อรัญประเทศ วันที่ 27พ.ค.50 พ.อ.ไชยชัยยันห์ โสธรชัย ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 12 กองกำลังบูรพา
(ผบ.ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา ) พร้อมด้วย ร.อ.ศลิษฏพงษ์ แก้วพิลา ผบ.ร้อย ทพ.ที่ 1206 ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา
นำกำลังตั้งจุดตรวจค้นหน้ากองร้อยคลอง หน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
ตรวจพบกลุ่มชาวกัมพูชามุสลิม ต้องสงสัย จำนวน 17 คน เป็นชายฉกรรจ์ล้วนๆอายุระหว่าง 30-45 ปี เดินทางข้ามด่านพรมแดนอรัญประเทศ
จากฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชาเข้ามาโดยแต่ละคนจะสะพายกระเป๋าเดินทางกันมาคนละ 1 ใบ ทั้งหมด มาจาก จ.กัมปงจาม ประเทศกัมพูชา อ้างว่าจะเดินทางไปเที่ยวและเยี่ยมญาติที่ประเทศมาเลเซีย โดยมีพาสปอร์ตและขอวีซ่าเข้าประเทศมาอย่างถูกต้อง

ตรวจสอบกระเป๋าเดินทางของทุกคนจะมีเปลสนามสำหรับไว้ผูกนอนในป่าทุกคน นอกจากนี้ยังพบในกระเป๋าสัมภาระบางคนมีหนังสือ
แปลคำศัพท์กัมพูชา-ไทย จึงทำการสอบถามบันทึกประวัติอย่างเข้มงวดเนื่องจากกัมพูชามุสลิมทั้ง 17 คน อ้างว่าจะเดินทางไปประเทศมาเลเซีย
แต่ทำไมมีหนังสือคำแปลภาษากัมพูชา -ไทย

ร.อ.ศลิษฏพงษ์ แก้วพิลา ผบ.ร้อย ทพ.ที่ 1206 ฉก.กรม.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา บอกว่าหลังจากก่อนหน้านี้ มีการตรวจค้นอย่างเข้มงวดและสามารถตรวจยึดยาและเวชภัณฑ์ที่ลักลอบขนไปชายแดนภาคใต้ได้เป็นจำนวนมาก ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้
เปลี่ยนแผนการเดินทาง แยกผู้ชายออกมาจากกลุ่มผู้หญิงคนแก่และเด็ก โดยเมื่อวันที่ 25 พ.ค.50 ได้มีกลุ่มชาวกัมพูชามุสลิมจำนวน 36 คน
เดินทางไปชายแดนภาคใต้ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น ผู้หญิง คนแก่ และเด็ก ไม่มีชายฉกรรจ์ แต่มาวันนี้มีแต่ชายฉกรรจ์ล้วนๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นกลุ่มเดียวกันแต่ได้แยกการเดินทางออกเป็นสองกลุ่มเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ไทยตรวจสอบได้ว่า เป็นการย้ายกันไปทั้งครอบครัว


คลิ๊กนี้มีความหมาย

ณรงค์ ชื่นนิรันดร์ สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จ.ภูเก็ต อ.เมือง จ.ภูเก็ต 83000 : Webmaster by Narong Cheunniran : อีเมล์ :narongthai53@gmail.com